นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม ถึง 23 ตุลาคม 2561 มีรายงานเกิดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรในสาธารณรัฐประชาชนจีนสะสมจำนวน 46 ครั้ง ใน 30 เมือง 11 มณฑล และ 1 เขตปกครองพิเศษ และเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2561 มีรายงานการเกิดโรคที่มณฑลยูนนาน ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทยมีความเสี่ยงของโรคเพิ่มขึ้น กรมปศุสัตว์จึงได้เข้มงวดป้องกันโรคเข้าประเทศรวมทั้งเตรียมความพร้อมรับมืออย่างเต็มที่
โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ติดต่อร้ายแรงในสัตว์ตระกูลสุกรซึ่งมีหมูป่าเป็นแหล่งรังโรคและมีเห็บอ่อนเป็นพาหะนำโรค โดยโรคนี้เป็นโรคสัตว์แปลกถิ่นสำหรับประเทศไทยและภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคน แต่ก็ถือว่าเป็นโรคที่สามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการเลี้ยงสุกรสูง เนื่องจากหากมีการระบาดของโรคนี้ในประเทศแล้วจะกำจัดโรคได้ยาก เพราะในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรค และไม่สามารถรักษาได้ ในขณะที่เชื้อไวรัสที่ก่อโรคมีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อมสูงและสามารถปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์อาหาร เช่น ไส้กรอก แฮม เนื้อสุกรและซาลามีได้ สุกรที่หายป่วยแล้วจะเป็นสามารถแพร่โรคได้ตลอดชีวิตและยิ่งกว่านั้นโรคนี้เป็นโรคที่มีความความรุนแรงมาก โดยทำให้สุกรที่ติดเชื้อมีอัตราป่วยและตายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรเป็นโรคตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2558 กรมปศุสัตว์ได้ยกระดับการป้องกันโรคเข้าประเทศด้วยเข้มควบคุมเคลื่อนย้ายสุกรและซากสุกรโดยติดตามสถานการณ์โรคในต่างประเทศ ชะลอการนำเข้าสุกรและผลิตภัณฑ์สุกรจากประเทศที่มีการระบาด รวมถึงการตรวจเข้มการลักลอบเคลื่อนย้ายสุกรและซากสุกรในทุกช่องทาง ที่ผ่านมามีการตรวจพบการลักลอบนำเข้าผลิตภัณฑ์สุกรโดยนักท่องเที่ยวในหลายครั้ง เช่น ไส้กรอก เนื้อสุกร ขาหมูรมควัน ส่วนวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้มีแผนเพิ่มเติมด้วยการสุ่มตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส สำหรับช่องชายแดนได้เพิ่มจุดทำลายเชื้อโรคเพื่อลดการปนเปื้อนเชื้อไวรัส ซึ่งขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่มีการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรในประเทศไทย
อย่างไรก็ตามกรมปศุสัตว์ได้เตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกรณีเกิดโรคดังกล่าวโดยมีการประชุมหารือกับนักวิชาการ ผู้แทนเกษตรกร ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเพื่อจัดทำแผนเผชิญเหตุและแนวปฏิบัติของฟาร์มเพื่อรับมือโรคนี้ ขณะนี้ห้องปฏิบัติการของกรมปศุสัตว์และเครือข่ายห้องปฏิบัติการสามารถตรวจวินิจฉัยโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรได้ ซึ่งสิ่งสำคัญในการป้องกันการเสียหายจากมหันตภัยของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรของเกษตรกรคือ การป้องกันโรค เพราะหากมีโรคเข้าฟาร์มแล้ว เกษตรกรจะสูญเสียการผลิตสุกรทั้งหมด ทั้งนี้ พื้นฐานการป้องกันโรคเป็นไปตามพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ซึ่งเกษตรกรรายย่อยควรยกระดับเป็นฟาร์มที่มีระบบการป้องกันโรคและการเลี้ยงสัตว์ที่เหมาะสม (GFM) ส่วนฟาร์มที่มีขนาดใหญ่ให้ผลักดันเป็นฟาร์มที่มีการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) โดยให้เกษตรกรขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่สำนักงานปศุสัตว์อำเภอที่ฟาร์มตั้งอยู่โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพื่อความทั่วถึงในการดูแลจากภาครัฐ เกษตรกรต้องดูแลสุขภาพสุกรให้มีสุขภาพดี หากนำสุกรเข้าเลี้ยงใหม่ให้ตรวจสอบแหล่งที่มาที่มั่นใจว่าไม่มีโรคระบาด และแยกเลี้ยงสุกรก่อนนำเข้ามาเลี้ยงรวมกับสุกรที่เลี้ยงอยู่เดิมอย่างน้อย 14 วัน เพื่อสังเกตสุขภาพ ร่วมกับการจัดการป้องกันโรค ได้แก่ มีสถานที่สำหรับขายสุกรภายนอกฟาร์ม ไม่ให้บุคคลหรือยานพาหนะที่อาจสัมผัสกับสุกรป่วย ได้แก่ การขนสุกรเข้าโรงฆ่า เข้าภายในฟาร์มโดยเด็ดขาด สำหรับบุคคลและยานพาหนะอื่นๆภายนอกฟาร์มไม่ควรให้เข้าฟาร์มเช่นกัน ซึ่งถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าฟาร์มให้มีการล้างทำความสะอาดและทำลายเชื้อโรคก่อน โดยจัดให้ใช้รองเท้าที่ใช้ในฟาร์มเท่านั้น เจ้าของหรือคนเลี้ยงไม่ไปฟาร์มสุกรหรือโรงฆ่า ถ้าจำเป็นให้รีบอาบน้ำทำความสะอาดและไม่เข้าฟาร์มหรือสถานที่เลี้ยงสุกรเป็นเวลาอย่างน้อย 5 วัน และไม่นำอาหารที่ผลิตจากสุกรหรือเนื้อสุกรเข้ามาในฟาร์ม สำหรับรายย่อยที่ใช้เศษอาหารเลี้ยงสุกร ไม่ควรใช้เศษอาหารที่เป็นผลิตภัณฑ์จากสุกรและต้มให้เดือดนานอย่างน้อย 30 นาที
ท้ายที่สุดนี้ อธิบดีกรมปศุสัตว์ขอความร่วมมือเกษตรกรให้สังเกตอาการสุกรอย่างใกล้ชิด หากพบสุกรแสดงอาการป่วย เช่น มีไข้สูง เบื่ออาหาร ท้องเสีย ผิวหนังเป็นปื้นแดง และมีจำนวนสุกรตายผิดปกติให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ทันที หรือ call center 063-225-6888 หรือที่แอปพลิเคชัน DLD 4.0 “แจ้งการเกิดโรคระบาด” เพื่อจะได้เร่งดำเนินการช่วยเหลือต่อไป
------------------------------------------
ที่มาของข้อมูุล : ข่าวปศุสัตว์
ข้อมูล : สำนักควบคุม ป้องกัน และบำบัดโรคสัตว์ กรมปศุสัตว์