ตามที่มีข่าวโรคติดเชื้ออีโบลา หรือ โรคไข้เลือดออกอีโบลา ระบาดในทวีปอาฟริกา  โดยเฉพาะในอาฟริกาตะวันตก  ได้แก่  เซียร์ร่ารีโอน กินี และไลบีเรีย  ซึ่งในปีนี้ องค์การอนามัยโลกรายงานว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อมากกว่า 1,323  ราย และเสียชีวิต  729  ราย  (ข้อมูลถึงวันที่ 27 กรกฎาคม 2557)


                   นายสัตวแพทย์ทฤษดี ชาวสวนเจริญ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า โรคอีโบลาเกิดจากเชื้อไวรัสตระกูล Filoviridae  ทำให้เกิดโรคในคนและลิง มีระยะฟักตัว 2 - 21 วัน ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน อ่อนเพลีย  คลื่นไส้  อาเจียน  ท้องเสีย  มีการอักเสบของตับ ไต รวมถึงมีเลือดออกคล้ายโรคไข้เลือดออก  อาเจียนเป็นเลือด  เลือดกำเดาไหล  มีเลือดออกในอวัยวะภายใน  จะตายภายในสัปดาห์ที่ 2  อัตราการป่วยตายร้อยละ 50 – 90  ยังไม่มียารักษาเฉพาะหรือวัคซีนป้องกันโรค  ต้องรักษาตามอาการ  อัตราการรอดร้อยละ 40  เชื้อนี้ติดต่อจากคนสู่คน แต่การแพร่กระจายเชื้อค่อนข้างต่ำ  ยังไม่พบการติดต่อกันทางระบบทางเดินหายใจ  การติดเชื้อต้องสัมผัสเชื้อโดยตรงจาก  สารคัดหลั่งของผู้ป่วย  เช่นอาเจียน  ปัสสาวะ  อุจจาระ น้ำตา น้ำลาย สำหรับผิวหนังปกติที่ไม่มีบาดแผล   จะสามารถป้องกันการเข้าสู่ร่างกายของเชื้อโรคได้

               
                 อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โอกาสที่เชื้ออีโบลาจะเข้าสู่ประเทศไทยค่อนข้างต่ำ  ในส่วนของกรมปศุสัตว์ได้มีการเข้มงวดมาตรการการนำเข้าสัตว์และซากสัตว์ แต่สัตว์ป่าอยู่ในความรับผิดชอบดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และก็ได้มีหน่วยงานต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยทำการสำรวจค้างคาวและลิง โดยผลการตรวจพบว่าเป็นลบทั้งหมด  อย่างไรก็ตาม สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ กรมปศุสัตว์ ได้พัฒนาวิธีการตรวจโรคอีโบลา  โดยวิธีทางชีวโมเลกุล (Polymerase Chain Reaction : PCR) และมีแผนสุ่มตรวจโรคอีโบลาในลิงจากประเทศที่มีความเสี่ยง ที่มีอยู่ในประเทศไทยตามสวนสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะลิงป่วย

               

                “  ข้อแนะนำในการป้องกันโรคที่สำคัญ  คือ ไม่ควรนำเข้าลิงจากประเทศที่มีความเสี่ยง ในทวีป   อาฟริกา  หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จะต้องกักสัตว์ดูอาการประมาณ 1  เดือน และตรวจตัวอย่างจากสัตว์ดังกล่าว เพื่อหาแอนติเจนของเชื้อไวรัสอีโบลา โดยสามารถส่งตรวจได้ที่สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งขาติ กรมปศุสัตว์ ”  อธิบดีกล่าว